วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

แกรี่ เนวิลล์ ตอน2


ปี 1997 เขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาสะสมเพิ่มอีก 1 เหรียญ ในช่วงซัมเมอร์ปี 1998 แกรี่ เนวิลล์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส โดยการคุมทีมของเกล็น ฮอดเดิ้ล และเขาได้ลงเล่น 3 นัดจากทั้งหมด 4 นัดของทีมชาติอังกฤษ ในฤดูกาล 1998/99 เขาได้ลงเล่นเป็นนักเตะตัวหลักของทีมตลอดทั้งฤดูกาล แล้วเขาก็เป็นนักฟุตบอลของทีมคนหนึ่งในชุดที่คว้า 3 แชมป์ฤดูกาล 1999/2000 ของเขาเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เมื่อต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณขาหนีบ ทำให้ต้องพักจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน และหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บเขาก็กลับมาลงเล่นให้กับทีมได้เกือบทุกนัด จนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเขาก็ลงเล่นให้กับทีมไปแล้วทั้งหมด 250 นัด และในฤดูกาลนี้เขาก็ได้สะสมเหรียญแชมป์พรีเมียร์ชิพเพิ่มอีก 1 รวมทั้งหมด 4 เหรียญแล้ว ในศึกยูโร 2000 เขาก็มีชื่อติดทีมชาติอีกครั้ง และได้ลงเล่นทั้ง 3 นัดของทีมชาติอังกฤษ ก่อนจะกลับไปเล่นให้กับสโมสรและคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 5 ของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้

ในฤดูกาล 2000/01 เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก มากขึ้น เนื่องจากอาการบาดเจ็บช่วงหนึ่งของยาป สตัม และเขาก็ได้เล่นคู่กับเวส บราวน์ และสามารถทำผลงานได้ดีทีเดียว ทำให้สตัม ถึงกับเครียดที่จะต้องแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงกลับมา ทั้งอาการบาดเจ็บและการติดโทษแบนของสตัม เองทำให้ทั้งฤดูกาลตกเป็นของแกรี่

ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2001 แกรี่ได้เซ็นสัญญากับทีมไปอีก 6 ปี ซึ่งสัญญาฉบับนี้จะทำให้ขาอยู่กับทีมไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2007

เขาเกือบจะได้รับเลือกให้ติดทีมชาติอีกครั้ง ในการคุมทีมของสเวน โกรัน อิริคส์สัน ในชุดที่เล่นในฟุตบอลโลกปี 2002 แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา ทำให้ไม่สามารถร่วมลงแข่งในรายการนี้ได้ โดยการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นจนถึงวันที่ 18 กันยายน เขาจึงได้มีชื่ออีกครั้งในฐานะตัวสำรองของทีมในการพบกับ มัคคาบี้ ไฮฟา และในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2002 เขาถึงได้กลับมามีชื่อเป็นหนึ่งใน 11 ตัวจริงอีกครั้ง และกลังจากนั้นเขาก็สามารถเล่นให้กับทีมได้อย่างสม่ำเสมอ มีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นกับเขาน้อยมาก ทำให้เขาสามารถลงเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โดยตลอด


วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

แกรี่ เนวิลล์

แกรี่ เนวิลล์
วันเกิด 18 กุมภาพันธ์ 1975
เมืองเกิด บิวรี่, อังกฤษ
ตำแหน่ง กองหลังหมายเลขเสื้อ 2
เด็กชายเนวิลล์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1975 ที่บิวรี่ เมื่อเขายังเด็กเขาได้ลงเล่นฟุตบอลให้กับบิวรี่ ตามด้วยเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ หลังจากนั้น จึงย้ายมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือนกรกฎาคม ปี 1991 และ 18 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้เซ็นสัญญาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับทีมในเดือนมกราคม ปี 1993
เขาเป็นหนึ่งในนักเตะชุดเยาวชนในปี 1992 – 1993 ซึ่งนักเตะในทีมชุดนี้หลายต่อหลายคนได้เติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เก่งและมีชื่อเสียง และตัวเขาเองก็เช่นกัน เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับทีมปีศาจแดง นัดแรกในศึกยูฟ่า คัพ ในเดือนกันยายนปี 1992 พบกับตอร์ปีโด มอสโคว์ จนกระทั่งฤดูกาล 1994/95 ที่เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างจริงจัง โดยลงเล่นแทนพอล ปาร์คเกอร์ ในตำแหน่งฟูลแบ็ก ที่มีอาการบาดเจ็บ เขายังได้ลงเล่นในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศแต่เป็นนัดที่ทีมต้องพ่ายแพ้ และเขายังต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาลนั้น โดยมีคะแนนน้อยกว่าทีมแชมป์เพียง 1 คะแนนเท่านั้น
ในฤดูกาลต่อมาเขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาครอบครอง ทั้งยังได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 1996 ซึ่งทีมเอาชนะลิเวอร์พูล และคว้าแชมป์มาได้ แต่ความสุขของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เขาได้รับเลือกจากผู้จัดการทีมชาติอังกฤษให้ติดทีมชาติชุด ยูโร 96 ซึ่งในการแข่งขันครั้งนั้น เขาได้ลงเล่นทุกนัด (ยกเว้นนัดที่เขาติดโทษแบน ในรอบ semi-final)

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน


เดนิส ลอว์ ราชาสตั๊ดเหินหาว

ตำแหน่ง กองหน้า

เกิดที่ อเบอร์ดีน, สกอตแลนด์

วันเกิด 24 กุมภาพันธ์ 1940

เดนิส ลอว์ ราชาสตั๊ดเหินหาว เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสามารถรอบด้านสมเป็น ราชาลูกหนัง แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างแท้จริง ในชีวิตการเป็นนักเตะของเขา มีทั้งความสุข สมหวัง ผิดหวัง ท้อแท้ เขาต่างได้ลิ้มรสความรู้สึกเหล่านี้มาแล้ว ครั้งที่เขายังเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นส่งให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงลงไปเล่นในศึกดิวิชั่น 2

เดนิส ลอว์ เกิดที่อเบอร์ดีน เข้าเรียนหนังสือที่ฮิลตัน ไพรเมรี่, คิตตี้บริวสเตอร์ จูเนียร์ และมาจบมัธยมฯในอเบอร์ดีน จากนั้นก็เบนเข็มเข้าสู่การเป็นนักเตะอาชีพให้กับทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1957

ในเดือนมีนาคม ปี 1960 เขาย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 55,000 ปอนด์

ในเดือนมิถุนายน ปี 1961 เขาย้ายออกจากถิ่นเมนโรด ไปอยู่โตริโนของอิตาลีในราคา 110,000 ปอนด์

เดนิส ลอว์ ได้ย้ายมาเล่นในลีกของอังกฤษอีกครั้ง เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเงินสูงถึง 170,000 ปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีมในเดือนกันยายน ปี 1962 นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในยุคนั้น

และในเดือนกรกฏาคม ปี 1973 เขากลับไปเมนโรด อีกครั้ง ก่อนจะแขวนสตั๊ดหันไปเป็นผู้บรรยายฟุตบอลทางวิทยุในเดือนสิงหาคม ปี 1974

ช่วงที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปปี 1964

ติดทีมชาติสกอตแลนด์ชุดใหญ่ 55 ครั้ง ยิงไป 30 ประตู

ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี 3 ครั้ง ยิงไป 1 ประตู

ลงสนามให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 393 นัด ยิงไป 236 ประตู

คว้าแชมป์ลีกกับทีมในฤดูกาล 1964/1965 ,1966/1967

คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1962/1963

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทีมปัจจุบัน

รายชื่อผู้เล่น
Manchester United 2009 - 2010
(1) Van der Sar (2) G. Neville
(3) Evra (4) Hargreaves
(5) Ferdinand (6) Brown
(7) Owen (8) Anderson
(9) Berbatov (10) Rooney
(11) Giggs (12) Foster
(13) J.S. Park (14) Tosic
(15) Vidic (16) Carrick
(17) Nani (18) Scholes
(19) Welbeck (20) Fabio
(21) Rafael (22) O'Shea
(23) J. Evans (24) Fletcher
(25) Valencia (26) Obertan
(27) Macheda (28) Gibson
(29) Kuszczak (30) De Laet
(31) C. Evans (35) Cleverley
(36) Gray (37) Cathcart
(38) Zieler (40) Amos
นี่เป็นรายชื่อนักเตะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดฤดูกาลล่าสุด
นักเตะที่น่าจับตามองก็มี เวย์น รูนี่ย์ฤดูกาลนี้ รูนี่ย์ยิงระเบบิดเลยครับหลังจากโรนัลโด้ไม่อยู่
ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ นักเตะจอมเทคนิค แต่แฟนบอลมักจะเรียกว่านักเตะจอมขี้เกียจ
ไมเคิ่ลโอเว่น เจ้าของเสื้อหมายเลข 7 คนล่าสุดที่ถูกคาดหมายว่าน่าจะเป็นตำนานหมายเลข 7 คนล่าสุด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

พอล สโคลส์ ตอน4


สโคลส์ เป็นผลิตผลชิ้นงามจากโรงเรียนลูกหนัง "ปีศาจแดง" เจเนอเรชั่นเดียวกับ เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์ รวมถึงสองศรีพี่น้อง แกรี่ กับ ฟิล เนวิลล์ ในช่วงกลางยุคไนน์ตี้ส์ ในฤดูกาล 2003 ที่ "ปีศาจแดง" กลายร่างเป็นเทพในพรีเมียร์ลีกนั้น 20 ประตูทองของ สโคลส์ ก็ถือว่า มีความสำคัญสุดยอดเช่นเดียวกัน พูดน้อย แต่ต่อยหนัก คือคุณสมบัติของดาวเตะผู้เป็นที่ใฝ่ฝันของกุนซือทุกคนบนโลกรายนี้ สโคลส์ สามารถทำประตูได้จากทุกระยะของสนาม ในระดับชาติ สตาร์รายนี้ รับใช้ทีมชาติอังกฤษไปทั้งหมด 66 วาระ ก่อนประกาศขอเลิกหลังจบศึก ยูโร 2004 ที่ โปรตุเกส นับตั้งแต่นั้น สโคลส์ ก็หันมาทุ่มเทให้กับการรับใช้สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด แบบเต็มตัว แม้จะถูกจีบให้หวนคืนทีมชาติหลายครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าตอบทุกครั้ง ปัญหาทางสายตาของ สโคลส์ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับฤดูกาล 2005/06 เพียงน้อยนิด แต่ "สโคลซี่ย์" ก็รีเทิร์นกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2006/07 ไฮไลต์ส่วนตัวคือการซัดเปิดแผล ลิเวอร์พูล ในชัยชนะ 2-0 เมื่อเดือนตุลาคม 2006 รวมถึงการวอลเล่ย์เต็มเหนี่ยวในเกมบุกถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 ในอีกสองเดือนถัดมา ซึ่งประตูนี้ ถูกคัดเลือกให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลโดยแฟนๆ ของสโมสรด้วย ผลงานที่ใช้เท้าพูดแทนปาก ส่งผลให้เพื่อนนักเตะ และนักข่าว เลือกให้ สโคลส์ เข้าป้ายอันดับสามสำหรับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมสมาคมนักฟุตบอลอาชีพหรือ พีเอฟเอ และอันดับสี่สำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าว ซึ่งทั้งสองรางวัล ตกเป็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สำหรับฤดูกาล 2007/08 สโคลซี่ย์ มีโอกาสลบล้างความผิดหวังที่เคยพลาดนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเก้าปีก่อน หลังจากที่ตะบันประตูดับ บาร์เซโลน่า พร้อมกับส่ง "ปีศาจแดง" ทะยานสู่ มอสโก อย่างองอาจ

พอล สโคลส์ ตอน3


สโคลส์ เริ่มต้นฤดูกาล 1999/2000 ด้วยการเป็นพ่อคน เมื่อ แคลร์ ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกคนแรก อาร์รอน เจค ในช่วงปลายเดือน กรกฎาคมกับทีมชาติเขาสามารถทำประตูในการพบกับ สกอตแลนด์ ในศึกยูโร 2000 นัด เพลย์-ออฟ ได้และนั่นก็ส่งผลให้เขาได้รับการโหวตโดย England Supporters Club ได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี และในช่วงเดือนมกราคมปี 2000 ที่ทีมต้องไปแข่ง เวิลด์ คลับ แชมเปี้ยนชิพส์ ที่บราซิล เขาก็ไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับทีมได้เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เนื่องจากเขาได้พักและทำให้พลาดลงสนามกับศึกพรีเมียร์ชิพ เพียง 1 นัดเท่านั้น และการกลับมาครั้งนี้ เขาก็สามารถทำประตูได้กับทีมได้ 7 ประตู ตลอดช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล และทีมก็สามารถคว้าแชมป์ที่ 6 ในรอบ 8 ปีได้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล

ปี 2000/2001 ชีวิตในวงการฟุตบอลของเขาก็ยังคงไปได้ดี เขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ครั้งที่ 5 ของตนเองได้ด้วยการลงสนาม 44 นัดและทำประตูได้ในลีก 11 ประตู แต่ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้นคือ การทำประตูในระยะ 32 หลาในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ พานาธิไนกอส และเขาก็จบฤดูกาลนี้ด้วยการทำประตูในฟุตบอลยุโรป 15 ประตู ซึ่งมากกว่า เดนิส ลอว์ อยู่ 1 ประตูในวันที่ 9 พฤษภาคม 2001 สโคลส์ และ แคลร์ ก็ประกาศให้สื่อมวลชนทราบว่าพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 แล้ว โดยมีชื่อว่า อลิเชีย และในวันที่ 6 กรกฎาคม 2001 เขาก็จรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม โดยจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ปี 2006 นอกเหนือจากฤดูกาลที่น่าผิดหวังกับสโมสรในปีนี้ เราและเพื่อนๆ อย่าง เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์ และ เวส บราวน์ ก็ได้ร่วมเล่นทีมชาติด้วยกันในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ด้วยมาตรฐานที่สูงของตัวเขาเองทำให้ถูกมองว่าฟอร์มการเล่นในครั้งนี้ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก แม้ว่าจริงๆ แล้ว เขาคือผู้เล่นในตำแหน่งแดนกลางที่สำคัญมากในทีมคนหนึ่ง และในขณะนั้นทีมชาติอังกฤษ ก็สามารถเข้าถึงรอบ Quarter-finals ได้แต่ก็ต้องพบกับ บราซิล และตกรอบไปในที่สุดเขากลับมาเล่นให้กับสโมสร และได้ลงเล่นในตำแหน่งใหม่นั่นคือ ศูนย์หน้าต่ำ ซึ่งเล่นข้างหลัง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เป็นกองหน้าตัวเป้า และเขาก็พิสูจน์ว่า เฟอร์กี้ คิดถูกที่เขาเล่นในตำแหน่งนี้ เพราะเขาสามารถทำประตูได้กับทีมได้ถึง 20 ประตู และทีมก็สามารถคว้าแชมป์ลีก ครั้งที่ 8 ได้สำเร็จ ซึ่งหลายต่อหลายคนก็ยกเครดิตครั้งนี้ให้กับ รุด แต่ความสามารถของ พอล สโคลส์ เองก็ไม่เคยมีใครมองข้ามไปเช่นกัน

ไม่ง่ายที่นักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่ง จะสามารถทำผลงานได้เข้าตาตำนานลูกหนังโลกอย่าง เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ได้ แต่อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก และอดีตสตาร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดแชมป์ยุโรปครั้งแรก กลับประทับอกประทับใจไอ้หนุ่มหัวแดงนาม พอล สโคลส์ เป็นอย่างยิ่ง "เขาคอนโทรลลูกบอลได้เฉียบขาด แถมยังผ่านบอลได้สุดแจ่ม นี่คือนักเตะที่เล่นฟุตบอลได้เนียนตาดีเหลือเกิน" เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน นิยามนักเตะรุ่นหลานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

พอล สโคลส์ ตอน2


"สโคลซี่ย์" ยังฉายฟอร์มสุดยอดในฤดูกาลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า "ทริปเบิ้ลแชมป์" เมื่อปี 1999 แม้ว่า จะอดเล่นในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะติดโทษแบน
ปี 1999 เขาก็กลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ที่ทำประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในดินแดนอิตาลี โดยเขาทำประตูตีเสมอให้ทีมในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อินเตอร์ มิลาน ที่สนาม ซาน ชิโร่ และหลังจากนั้น ในเดือนเดียวกันนี้เขาก็ยังสามารถทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษ ช่วยให้ทีมเอาชนะ โปแลนด์ 3 – 1 ที่สนาม เวมบลีย์ ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2000แม้ว่าจะค่อนข้างจะขี้อายและไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมากนัก แต่เขาก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์อย่างภาคภูมิใจว่า “มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เล่นฟุตบอลมาเลย ผมได้ทำประตูที่สำคัญให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก และการที่แฟนๆ ให้กำลังใจผมโดยตลอด นั่นทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ จริงๆ”ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ประกาศว่า เขากับภรรยา แคลร์ กำลังจะได้ลูกคนแรก แต่นิยายเรื่องนี้ก็ไม่จบลงด้วยความสุขเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นเขายังเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่คว้า 3 แชมป์ด้วย แต่สิ่งเดียวที่น่าผิดหวังของเขาก็คือ ในฤดูกาล1998/99 เขาต้องติดโทษแบนและไม่สามารถลงเล่นได้ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ บาร์เซโลน่า
ทั้งยังได้รับความอับอายเมื่อเขาเป็นนักฟุตบอลอังกฤษคนแรกที่ถูกไล่ออกในสนาม เวมบลีย์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในศึก ยูโร 2000 รอบคัดเลือก และจบเกมอย่างน่าผิดหวังด้วยการเสมอกับสวีเดน 0-0

พอล สโคลส์


เกิด 16/11/1974เมืองเกิด ซัลฟอร์ด, อังกฤษ
ตำแหน่ง ศูนย์หน้าหมายเลขเสื้อ 18
พอล สโคลส์ เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลฝึกหัดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1991 และเป็นนักเตะอาชีพ 18 เดือน หลังจากนั้นในวันที่ 23 มกราคม 1993 ในขณะที่เล่นให้กับทีมเยาวชนเขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมาก และได้แชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ กับทีมชุดเยาวชนในปี 1993 อีกทั้งเขายังลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี และคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพส์ ในปี 1993 ด้วยเขาลงเล่นในลีกให้กับสโมสรครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กันยายน 1994 โดยนัดนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ อิปสวิช ทาวน์ และแม้เขาจะสามารถยิงได้ถึง 2 ประตู แต่ผลการแข่งขันก็จบลงที่ ความพ่ายแพ้ของทีม 2 – 3ในฤดูกาล
หนุ่มจอมห้าวผู้เกิดแถบ ซัลฟอร์ด เหมาสองลูกในเกมประเดิมสนามของตัวเองกับสโมสร โดยเป็นการเจอกับ พอร์ทเวล ใน ลีก คัพ เมื่อฤดูกาล 1994/95 ขณะที่ประตูแรกของ สโคลส์ ในเกมลีก เกิดขึ้นกับ อิปสวิช ในปีเดียวกัน
1994/95 เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากต้องลงเล่นแทน เอริค คันโตน่า ที่ติดโทษแบน บางนัดก็ลงเล่นแทนตำแหน่งของ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่มีอาการบาดเจ็บ อีกทั้งได้ลงเป็นตัวสำรองแทน ลี ชาร์ป ในศึก เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศอีกด้วยอย่างไรก็ดี ในฤดูกาลนี้ก็จบลงด้วยการไม่ได้แชมป์ใดๆ เลย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ฤดูกาลที่แจ่มสุดๆ ของ สโคลส์ ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แน่นอนว่า ต้องมีฤดูกาล 1995/96 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า "ดับเบิ้ลแชมป์" ได้ ซึ่งดาวเตะหัวแดงเพลิง เข้ามาเสียบแทนการหายไปของ เอริค คันโตน่า ที่โดนแบนได้อย่างสมบูรณ์แบบ สโคลส์ จบฤดูกาลที่น่าจดจำดังกล่าว ด้วยการคว้าอันดับรองดาวซัลโวของสโมสร โดยทำไป 14 เม็ด เป็นรองเพียง คันโตน่า เพียงคนเดียว นี่เป็นแชมป์ใหญ่แชมป์แรกของเขา อีกทั้งการที่ทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก็ทำให้ทั้งเขาและสโมสร ได้ ดับเบิ้ลแชมป์ อีกด้วยทางด้านการลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ พอล สโคลส์ ก็สามารถทำประตูได้ในนัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมชาติแบบเต็มๆ และนั่นก็เป็นนัดแรกที่เขาลงเล่นใน เวมบลีย์ ด้วย และเขามีชื่อในทีมชาติชุดที่เล่นในฟุตบอลโลกในปี 1998 รวมทั้งสามารถทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษในนัดเปิดสนามที่พบกับ ตูนีเซีย ในเดือนมีนาคม

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

โอเล่กุนนา โซลชาร์


เกิด 26/2/1973
เมืองเกิด คริสเตียนซันด์, นอร์เวย์
ตำแหน่ง ศูนย์หน้า
หมายเลขเสื้อ 20
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เกิดที่เมือง คริสเตียนซันด์ ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 1973 หลังจากที่เล่นฟุตบอลเป็นงานอดิเรกกับทีม Clausenengen FK ในดิวิชั่น 3 ของนอร์เวย์ เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับ Molde ในพรีเมียร์ลีก นอร์เวย์ ปี 1995 และด้วยฟอร์มการเล่นของเขาก็ทำให้เขาติดทีมชาตินอร์เวย์ และใช้เวลาไม่นานเลยที่จะทำให้สโมสรใหญ่ๆ หลายสโมสรในยุโรปสนใจในตัวเขา ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขาเองทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อลัน เชียร์เรอร์ แห่งนอร์เวย์”
ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตกลงใช้บริการเขาด้วยการซื้อตัวจาก Molde 1.5 ล้านปอนด์ และเขาสามารถยิงประตูให้กับทีมได้ครั้งแรกในนัดที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และตั้งแต่นั้นมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะยึดตำแหน่งในทีมชุดใหญ่เป็นการถาวรเลยทีเดียว ด้วยจำนวน 19 ประตู (18 ประตูในลีก) พร้อมทั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีม และได้เหรียญพรีเมียร์ชิพ คล้องคอเป็นเหรียญแรกของเขาหลังจบฤดูกาล
ในช่วงต้นฤดูกาล 1998/99 มีข่าวลือออกมาหนาหูว่า โซลชาร์ อาจจะย้ายออกจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เนื่องจากการย้ายมาด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ของ ดไวท์ ยอร์ค แต่อย่างไรก็ดี ครั้งนี้ต้องเครดิตให้กับตัวเขาเองเต็มๆ เมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งศูนย์หน้า แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะกลายเป็นตัวสำรองของทีมอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ประตูชัยที่เขายิงให้กับทีม ในนัดที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ใน เอฟเอ คัพ รอบที่ 4 และการยิงถึง 4 ประตูในเวลาเพียง 13 นาที ในนัดที่เอาชนะ น็อตตอ้งแฮม ฟอเรสต์ 8 – 1 ใน 2 สัปดาห์ถัดมา ก็ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขวัญถึง และได้รับสมญานามจากสื่อในอังกฤษว่า super subการยิง 4 ประตูใน 13 นาทีของเขากลายเป็นสถิติใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ แต่อย่างไรก็ดี การลงสนามของเขาก็ยังคงน้อยครั้ง แม้ว่าจะได้เดินลงสนามเป็นหนึ่งใน 11 นักเตะในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ นิวคาสเซิ่ล แต่เขาก็ต้องกลับไปนั่งม้านั่งสำรองอีกในนัดที่พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ แต่ก็เหมือนเป็นลางดีบางอย่าง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาถูกเรียกตัวจากม้านั่งข้างสนาม และเขาก็ได้กลายเป็นผู้ที่นำชัยชนะให้กับทีมในวินาทีสุดท้าย จนทำให้แฟนๆ ต้องร้องเพลง "Who put the ball in the Germans' net......?"
กับทีมชาตินอร์เวย์ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีรายชื่อติดทีมชาติเพื่อไปสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และทีมก็เข้าถึงรอบ 2 ในรายการนี้ กับสโมสรในฤดูกาล 1999/2000 สำหรับเขาก็ไม่แตกต่างจากเดิมด้วยการเป็นตัวสำรองกว่า 50% แต่เขาก็สามารถทำประตูให้กับทีมได้ 15 ประตู ในการลงเล่นเป็นตัวจริง 20 นัดและตัวสำรอง 21 นัด และหลังจากนั้นก็มีข่าวอีกว่า สเปอร์ส และ ลีดส์ สนใจที่จะซื้อตัวเขาไปร่วมทีม แต่ในที่สุดช่วงท้ายฤดูกาลเขาก็ต่อสัญญากับทีม โดยสัญญานี้จะทำให้เขาอยู่กับทีมไปจนกระทั่งอายุครบ 33 ปี
เขามีชื่อติดทีมชาตินอร์เวย์ ในศึกยูโร 2000 แต่เขาก็ไม่สามารถทำประตูได้ อีกทั้งนอร์เวย์ ก็ไม่สามารถผ่านรอบแรกไปได้ แต่อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเขาก็ได้รับข่าวดีเมื่อภรรยาของเขา Silje ให้กำเนิดลูกชายคนแรกชื่อว่า Noah แม้ว่าเขาจะเล่นในตำแหน่งตัวสำรองมาเสียส่วนใหญ่แต่เขาก็สามารถทำประตูที่ 100 ให้กับทีมได้ ในนัดแรกของฤดูกาล 2002/03 ซึ่งทีมเอาชนะ เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน มาได้ 1 – 0
ตอนนี้เขาเป็นคุณพ่อลูกสองแล้ว โดยภรรยาเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ซึ่งเป็นลูกสาว ชื่อว่า Karna ซึ่งเกิดในวันที่ 3 มีนาคม 2003 จนถึงขณะนี้เขาทำประตูให้กับสโมสรไปแล้ว 115 ประตู ถือว่าเป็นสถิติที่ดีทีเดียวสำหรับผู้ที่ลงเล่นในตำแหน่งตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่
ในฤดูกาล 2003/04 หลังจากสามารถยิงประตูแรกในฤดูกาลของตัวเองในนัดที่พบกับ พานาธิไนกอส ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนกันยายนแล้ว เขาก็ต้องพบกับอาการบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขัน และต้องเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง ในครั้งนี้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องพักนานกว่า 5 เดือน นั่นก็หมายความว่าในฤดูกาลนี้เขาได้ลงเล่นเพียง 19 นัดและทำประตูให้กับทีมได้เพียง 1 ประตูเท่านั้น แม้ว่าเขาสามารถกลับมาฝึกซ้อมได้อีกครั้งในช่วงต้นปี 2004 แต่ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้งบริเวณหัวเข่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา นั่นก็จะทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามให้กับทีมไปตลอดทั้งฤดูกาล 2004/05

เดวิด เบ๊คแฮม


อดีต นักเตะปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม โอบีอี - อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษและเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดในโลก ในฐานะมิดฟิลด์รูปหล่อฝีเท้าดีและมีภาพลักษณ์ของความเป็นซูเปอร์สตาร์เต็มเปี่ยม และยังเคยได้รับการยกย่องจากเปเล่ ราชาลูกหนังโลกให้ติด 1 ใน 100 นักฟุตบอลของโลก รวมทั้งยังเคยได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น 100 บุคคลตัวอย่างของโลก
ลงเล่นในชุดปีศาจแดงครั้งแรกในถ้วยลีกคัพ พบกับทีมไบรท์ตัน&โฮฟ อัลเบี้ยน เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1992
เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม โอบีอี - อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษและเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดในโลก ในฐานะมิดฟิลด์รูปหล่อฝีเท้าดีและมีภาพลักษณ์ของความเป็นซูเปอร์สตาร์เต็มเปี่ยม และยังเคยได้รับการยกย่องจากเปเล่ ราชาลูกหนังโลกให้ติด 1 ใน 100 นักฟุตบอลของโลก รวมทั้งยังเคยได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น 100 บุคคลตัวอย่างของโลก
เบ็คแฮม เริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กที่มหานครลอนดอน และได้รับอิทธิพลและการปลูกฝังความรักที่มีต่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากเท็ด เบ็คแฮม บิดาที่มักจะหอบหิ้วเจ้าหนูเดวิด ไปชมเกมของเร้ด เดวิลส์ ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดบ่อยๆ และสิ่งนี้ได้กลายเป็นความผูกพันชั่วชีวิตของเบ็คแฮม ที่มีต่อทีมปีศาจแดง
เจ้าหนูเดวิด ยังโชคดีมากกว่าแฟนบอลตัวน้อยอีกนับร้อยนับพันเมื่อได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนลูกหนัง "บ็อบบี้ ชาร์ลตัน" และยังเคยเป็น "มาสค็อต" ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมที่พบกับเวสต์แฮม ในปี 1986 ด้วย
แต่กว่าที่จะได้เข้ามาเป็นนักฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆ เบ็คแฮม ก็ต้องผ่านการทดสอบทีมระดับเยาวชนของเลย์ตัน โอเรียนท์ แต่ได้ลงเล่นให้สเปอร์ส เป็นทีมแรกแทน ก่อนที่จะมีโอกาสได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันเกิดอายุครบ 14 ปี และนี่เป็นก้าวแรกในการเติมเต็มความฝันของนักฟุตบอลที่โด่งดังที่สุดของอังกฤษในยุคนี้
พรสวรรค์ของเบ็คแฮม เริ่มโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมรุ่นและเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธคัพ ในปี 1992 โดยเป็นผู้ทำประตูชัยให้ทีมเอาชนะคริสตัล พาเลซ ได้ด้วยในเกมนัดที่ 2 ก่อนที่จะได้รับโอกาสจากอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่
เบ็คแฮม ลงสัมผัสเกมแรกให้กับทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1992 ด้วยการลงเป็นตัวสำรองในเกมลีก คัพ ในนัดที่พบกับไบรจ์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ก่อนจะได้เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรก แต่ก็ยังต้องอยู่ในทีมชุดสำรองเป็นส่วนใหญ่ กระนั้นก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ลีกสำรองได้
ในฤดูกาล 1994/95 เฟอร์กี้ ส่งเบ็คแฮม ไปขัดเกลาตัวเองที่เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ซึ่งเบ็คแฮม ก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเล่นเป็นทีมตัวจริงอย่างเต็มที่ก่อนที่จะกลับมาและมีโอกาสลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก เกมแรกในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับคู่แค้นอย่างทีม "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 2 เม.ย.1995 และเริ่มเข้ามามีส่วนในทีมชุดใหญ่ของเฟอร์กี้ มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคนอย่าง แกรี่-ฟิล พี่น้องเนวิลล์ ,นิคกี้ บัตต์ ,พอล สโคลส์ ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม Fergie's Babe
แต่จุดเริ่มต้นตำนานจริงๆ ของเบ็คแฮม คือการทำประตูมหัศจรรย์ด้วยการยิงจากระยะกว่าครึ่งสนามในเกมที่พบกับวิมเบิลดัน ในเดือน ส.ค. 1996 ซึ่งเบ็คแฮม แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการวางบอลเข้าสามเหลี่ยมสุดที่นีล ซัลลิแวน ผู้รักษาประตูวิมเบิลดัน จะวิ่งกลับไปรับทันได้
ประตูนี้ทำให้ชื่อของเดวิด เบ็คแฮม เป็นที่รู้จักของคนอังกฤษและกลายเป็น "ประตูทอง" ของชีวิตเขาอย่างแท้จริง
เบ็คแฮม ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษทันทีไม่นานหลังยิงประตูดังกล่าว และลงเล่นเกมทีมชาตินัดแรกในวันที่ 1 ก.ย. ในนัดที่พบกับมอลโดวา ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกก่อนที่จะช่วยพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และคว้ารางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสถาบันพีเอฟเอ มาครองได้
ชื่อเสียงของมิดฟิลด์รูปหล่อขจรขจายไปทั่ว และในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มพบกับวิคตอเรีย อดัมส์ หนึ่งในสมาชิกนักร้องวงสไปซ์เกิร์ล ที่ต่อมากลายเป็นคู่แท้ปาฏิหารย์และมีส่วนช่วยส่งเสริมกันและกันจนกลายเป็นคู่รักที่โด่งดังมากที่สุดในโลกคู่หนึ่ง และมีครอบครัวที่อบอุ่นด้วยลูกชายสุดน่ารักทั้ง 3 คือบรู๊คลีน (ที่มาจากชื่อของสะพานบรู๊คลีน ในมหานครนิวยอร์ค) ,โรเมโอ และโจเซฟ
แต่ชีวิตของเบ็คแฮม ก็ไม่ได้มีแต่ขาขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบต้องกลายเป็นนักฟุตบอลไร้อนาคตด้วยซ้ำ เมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษ ต้องพ่ายแพ้ต่อทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมรอบที่ 2 ของฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังโดนใบแดงไล่ออกจากสนามด้วยการทำท่าจะถีบใส่ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กองกลางจอมตุกติกของทีมฟ้าขาว
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เบ็คแฮม ตกต่ำที่สุด คนทั้งอังกฤษโห่ไล่ด่าทอใส่เขา แต่ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งและการปกป้องดูแลอย่างสุดกำลังของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้ดาวเตะผู้นี้ก้าวผ่านช่วงวิกฤติชีวิตมาได้และค่อยๆ เรียกชื่อเสียงกลับมาได้ทีละน้อย
ในปี 1999 ชีวิตของเบ็คแฮม พลิกกลับมาถึงจุดสูงสุดในการเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการมีส่วนพาทีมคว้าเทรเบิ้ลแชมป์ - พรีเมียร์ลีก ,เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอดไม่ว่าจะเป็นการเปิดบอลจากริมเส้น การยิงลูกฟรีคิกระดับพระกาฬ และความมุ่งมั่นทุ่มเทจนเสียงโห่ที่เคยมีกลายเป็นเสียงเชียร์อย่างสุดกำลัง ในปีนี้เองเบ็คแฮม ยังได้อันดับที่ 2 ของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป หรือบัลลงดอร์ และที่ 2 ในรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าอีกด้วย
หลังจากนั้นกราฟชีวิตของเบ็คแฮม ก็พุ่งขึ้นเป็นจรวด เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังที่โด่งดังที่สุดในโลกและยังคงประสบความสำเร็จในการเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไม่ขาด แถมยังได้รับตำแหน่งปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษมาครองอีกด้วย
ซึ่งตำแหน่งกัปตันทีมนี้เองทำให้เบ็คแฮม กลายเป็นขวัญใจมหาชนคนอังกฤษอย่างเต็มภาคภูมิ รวมทั้งสร้างกระแสความคลั่งไคล้ในตัวกัปตันสุดหล่อผู้นี้ที่แม้จะทำผมทรงโมฮีแกนอันแปลกประหลาดก็ยังมีแฟนบอลแห่ไปทำผมทรงนี้ตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นซูเปอร์สตาร์และความเป็นผู้นำแฟชั่นในสนามฟุตบอลของเบ็คแฮมอีกด้วย
แต่ชีวิตที่น่าจะจบลงด้วยการเป็นตำนานตลอดกาลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องปิดฉากลงก่อนถึงเวลาอันควร เมื่อชื่อเสียงและความโด่งดังของเบ็คแฮม เริ่มนำไปสู่รอยร้าวในความสัมพันธ์กับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่นับถือกันเป็นพ่อคนที่สอง และฟางเส้นสุดท้ายระหว่างทั้งสองคนคือการที่เฟอร์กี้ บันดาลโทสะหลังผิดหวังกับฟอร์มของเบ็คแฮมด้วยการเตะสตั๊ดใส่จนทำให้เกิดรอยแผลที่หางคิ้วและเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก
จบฤดูกาล 2002/03 เบ็คแฮม ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นโอบีอี (OBE) แต่ก็ถูกขายให้กับทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะซูเปอร์สตาร์ของเรอัล มาดริด ที่รู้จักกันในนาม "กาลาคติกอส"
กับเรอัล มาดริด ที่มีการเปลี่ยนแปลงประธานสโมสรจากฟลอเรนติโน่ เปเรซ และโค้ชเป็นฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็มีส่วนทำให้เบ็คแฮม กลายเป็นส่วนเกินในทีมทันทีเนื่องจากคาเปลโล่ ไม่นิยมชมชอบเท่าไรนัก และหลังจากต้องตกเป็นตัวสำรองมาโดยตลอด ซูเปอร์สตาร์ผู้นี้จึงขอเลือกเส้นทางใหม่กับการไปเป็นดาวดังในสหรัฐอเมริกา กับแอลเอ แกแล็กซี่แทน พร้อมรับเงินค่าเหนื่อยมหาศาลที่สุดในโลกลูกหนัง
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม
วันเกิด : 2 พฤษภาคม 1975
เกิดที่ : เลย์ตันสโตน ลอนดอน, อังกฤษ
ตำแหน่ง : กองกลาง, กองกลางฝั่งขวา
ส่วนสูง : 182 ซม.
ฉายา : เบ็คส์, DB7
สโมสรปัจจุบัน : แอลเอ แกแล็กซี่
หมายเลขเสื้อ : 23,7,32
สโมสรอาชีพ
แมนยูฯ
เรอัล มาดริด
แอลเอ แกแล็กซี่
เอซี มิลาน

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

รอยคีน




รอยคีน กัปตันพันธุ์ดุ ของทีมปีศาจแดง เรามาดูประวัติคร่าวๆ ของกัปตันทีมพันธุ์ดุคนนี้กันดีกว่าครับ
ประวัติคร่าวๆวันเกิด 10 สิงหาคม 1971สถานที่เกิด เมือง คอร์ก , ไอร์แลนด์สูง 178 ซม.หนัก 75 กก.
สโมสร น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์ชุดใหญ่, แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ ลีก คัพ, แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีพีเอฟเอ, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว
สุดยอดนักเตะฮาร์ดแมนระดับโลก กองกลางที่มีเกมรุกและรับที่โดดเด่น เป็นนักเตะที่เหมือนสัญลักษณ์ของแมนฯยูฯ เป็นจอมห้าวที่มุทะลุดุดันทั้งในและนอกสนาม เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนในบ้านเกิดกับทีม ร็อคมันท์ ก่อนย้ายมาร่วมสโมสร โคบห์ แรมเบลอร์ ในเซมิ โพรเฟสชันนัล ลีก ที่ไอร์แลนด์
มิถุนายน 1990 เซ็นสัญญากับสโมสร น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 47,000 ปอนด์ ลงสนามนัดแรกพบ ลิเวอร์พูล ในตำแหน่งลงเล่นในแผงกองกลาง เป็นดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรก และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม ของบาร์เคลยส์ โดยในฤดูกาลนี้ลงเล่นทั้งสิ้น 35 นัด ยิงได้ 8 ประตู
พฤษภาคม 1992 ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ สโมสร น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
กรกฏาคม 1993 ย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์
สิงหาคม 1993 ลงเล่นนัดแรก ในศึก แชริตี้ ชิลด์ พบกับ ปืนใหญ่ อาร์เซนอล
เมษายน 1995 ยันเท้าใส่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ในศึก เอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกนัดรีเพลย์โดนไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้ง
สิงหาคม 1997 สวมปลอกแขนกัปตันทีมแทนตำนานลูกหนัง "เอริก คันโตน่า"
กันยายน 1997 เอ็นกระดูกหัวเข่าฉีก ในแมตต์ที่พบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ เอลแลนด์ โรด จนทำให้หมดสิทธิ์ลงสนามให้กับทีม 1 ฤดูกาล
เมษายน 2000 เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าว และ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ
2000-2001 เริ่มต้นฤดูกาล ก็ยิงประตู พาทีมคว้าแชมป์ โตโยตา คัพ โดยชนะ พัลไมรัส 1-0 ผีแดงเป็นทีมจากอังกฤษ ทีมแรกที่คว้าแชมป์ อินเตอร์ คอนติเน็นตัล คัพ และต่อสัญญา 4 ปีกับ แมนฯยูฯ ซึ่งเป็นสัญญาฉบับใหม่ชนิดที่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธ และเป็นที่คาดกันว่าเขากลายเป็นนักเตะที่มีรายได้ประจำสัปดาห์สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ เขาลงเล่นในลีก 28 นัดยิงได้ 2 ประตู และ ในแชมเปี้ยนลีกอีก 1 ประตูจาก 13 นัด ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว ก่อนคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพสมัย 6 ใน 8 ปีกับ แมนฯยูฯ เขาออกมาวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมยูไนเต็ด ว่าอาจจะถึงเวลาขาลงแล้วหลังตกรอบ ควอเตอร์ ไฟนัล เกมแชมเปียนส์ ลีก ที่พ่าย บาเยิร์น มิวนิค และประกาศว่าต้องการแขวนสตั๊ดกับเซลติก เขาได้สร้างความอัปยศในแวดวงลูกหนังเมื่อโดนไล่ออกหลังจงใจแก้แค้นใส่ อิงเก้ ฮาแลนด์ ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ และทำให้ต่อมา อิงเก้ ฮาแลนด์ ต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปในที่สุด 2001-2002 ปีนี้เขาตกลงเซ็นสัญญาฉบับใหม่อีกครั้ง โดยมีสัญญาถึงปี 2006 โดยลงเล่น 28 นัดในลีกยิงได้อีก 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดกับ 1 ประตู แต่ก็เป็นอีกปีที่แมนฯยูฯ ไม่มีแชมป์ติดมือ ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เขาโดนส่งกลับบ้านหลังมีปัญหากับผจก. มิค แม็คคาร์ธีย์ เขาออกหนังสืออัตชีวประวัติซึ่งยอมรับไปในตัวว่า จงใจแก้แค้นใส่ ฮาแลนด์ และแฉผจก. ทีมชาติไอร์แลนด์ว่า กุข่าวว่าตัวเองเจ็บ แล้วไม่ส่งลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นผลให้ ฮาแลนด์ ประกาศขอเอาเรื่อง คีน กับการแท็กเกิลโหดที่ทำให้ตัวเขาเองต้องจบอาชีพค้าแข้ง และทำให้คีนโดนเอฟเอสั่งปรับในข้อหาจงใจใช้เกมการแข่งขันแก้แค้นส่วนตัว โดนแบน 5 เกม และปรับ 150,000 ปอนด์ 2002-2003 กลับมาเล่นอย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งแม้จะมีปัญหาบาดเจ็บอีกหลายครั้ง เขาลงเล่นเกมลีก 21 เกม เกมแชมเปี้ยนลีก 6 เกม โดยถึงแม้ปีนี้เขาจะยิงประตูไม่ได้เลย แต่ก็พาทีมขึ้นรับถ้วย พรีเมียร์ ลีก และลีกคัพ ไบร์อัน เคอร์ กุนซือคนใหม่ของไอร์แลนด์ พยายามดึงตัวกลับไปรับใช้ชาติ แต่คีน ก็ประกาศรีไทร์ จากทีมชาติไปแล้ว 2003-2004 เล่นเกมลีกกับแมนฯยูฯอีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 4 เกม แม้ปีนี้แมนฯยูฯ จะไม่ได้แชมป์ลีก แต่ก็พาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลนี้รอย คีนมีปัญหากับแฟนบอลหลังออกมาวิจารณ์แฟนบอลว่าไม่ได้เข้ามาเชียร์บอล แต่เข้ามาเพื่อดูการแสดงโชว์ และทานอาหารในสนามเท่านั้น ประกาศกลับสู่ทีมชาติ และลงเล่นเกมแรกของการกลับมารับใช้ชาติ ในเกมกระชับมิตร์กับ โรมาเนีย 2004-2005 ลงเล่นอีก 31 เกมลีกยิงได้ 1 ประตู และ 6 เกมในแชมเปี้ยนลีก แต่แมนฯยูฯ ก็ไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ ในปีนี้ และเขาเริ่มมีปัญหากับเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน จากนั้นก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมหลังออกวาวิจารณ์ฟอร์มการเล่น ประกาศออกจาก ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาล 2005-06 แต่จะเล่นต่อกับสโมสรอื่นที่ไม่ใช่ในอังกฤษอีกสัก 1-2 ปี ประกาศรีไทร์จากทีมชาติอีกครั้ง 2005-2006 ลงเล่นเพียงแค่ 5 นัดหลังจากเปิดฤดูกาล และประสบปัญหาบาดเจ็บจึงต้องพักยาว ออกมาวิพากวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมอย่างหนัก และมีข่าวออกมาว่าสโมสรจะไม่ต่อสัญญาและจัดเทสติโมเนี่ยลแมตช์ สุดยิ่งใหญ่ให้ ในที่สุดรอย คีนก็โบกมือลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบจากกันด้วยดี หลังจากอยู่รับใช้สโมสรมา 12 ปี
เกียรติประวัติกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1998-1999
พรีเมียร์ลีก 1993-1994,1995-1996,1996-1997,1998-1999,1999-2000, 2000-2001,2002-2003
เอฟเอ คัพ 1993-1994,1995-1996,1998-1999
โตโยต้าคัพ/สโมสรโลก 2000

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

เอริค คันโตน่า


เอริค คันโตน่า คือตำนานบทหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจ ของแมน ยู เราของมาดูตำนานของ เอริคเดอะคิงกันดีกว่า กว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นตำนานของทีมปีศาจแดงแห่งเกาะอังกฤษนั้นชีวิตของเขาต้องพเนจรไปไหนบ้าง
เอริก แดเนียล ปิแอร์ กองโตนา (Éric Daniel Pierre Cantona) (เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ 2509 (ค.ศ. 1966) ที่เมือง มาร์กเซย์ ประเทศฝรั่งเศส) เล่นฟุตบอลอาชีพกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรสุดท้าย ซึ่ง คันโตนา ประสบความสำเร็จได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ถึง 4 สมัย ภายในเวลา 5 ปี รวมไปถึงการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ ภายในฤดูกาลเดียวกันอีกสองสมัย
ในปี พ.ศ.2543 (ค.ศ. 2000) ได้รับการโหวตจากแฟนๆ ของทีม ให้เป็นนักฟุตบอลแห่งศตวรรษ แฟนๆ ยังคงกล่าวถึงคันโตนา โดยเรียกเขาว่า "เอริก เดอะ คิง" จนถึงทุกวันนี้
คันโตนา เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรโอลิมปิกมาร์กเซย หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปสู่ บอร์กโดซ์ ด้วยสัญญายืมตัว หลัง จากนั้นก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับ มงเปลลิเย่ร์ ซึ่งเขาได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์ เฟร้นช์ คัพ เป็นครั้งแรก ก่อนจะถูก มาร์กเซย์ดึงตัวกลับมา แต่ เขาก็ยังถูกขายให้กับ นีมส์ เชฟฟิลด์เว้นส์เดย์ ลีดส์ ยูไนเต็ด
คันโตนาพายูงทองเถลิงบัลลังก์แชมป์ดิวิชั่น 1(เดิม)ได้ทันทีในฤดูกาลนั้นเอง (1991-1992)เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น คันโตนาก็ย้ายสโมสรอีกครั้งหนึ่ง เข้าสังกัดทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวที่ปีศาจแดงจ่ายให้กับลีดส์เพียงแค่ 1.2 ล้านปอนด์ เท่านั้น
ขณะนั้นทีมปีศาจแดงกำลังประสบกับปัญหาปืนฝืด ไม่สามารถทำประตูคู่แข่งได้เนื่องมาจากการที่สโมสรขาย มาร์ค โรบิน และ ดิออน ดับลิน ประสบปัญหาการบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม คันโตนาปรับตัวเข้ากับสโมสรแห่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเขาสามารถทำประตูและส่งให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
2 ฤดูกาลต่อมา ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง คว้าแชมป์ลีกในปี พ.ศ.2536 (ค.ศ. 1993)และ ดับเบิ้ลแชมป์ในปี พ.ศ.2537 (ค.ศ. 1994)ซึ่งคันโตนาทำประตูจากลูกจุดโทษสองประตูถล่ม เซลซีในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ 4-0
คันโตนาก่อเรื่องขึ้นในเกมเยือน คริสตัลพาเลซ เดือนมกราคม ฤดูกาลถัดมา(พ.ศ.2538 )(ค.ศ. 1995) เมื่อกระโดดถีบใส่ แมทธิว ซิมม่อนส์ แฟนบอลทีมเจ้าบ้าน หลังจากโดนผู้ตัดสินไล่ออกจากสนาม
ในงานแถลงข่าวภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตนา ซึ่งคันโตนาได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะกล่าวว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง...ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโยนลงมาในทะเล" เพียงเท่านี้เขาก็ลุกออกจากห้องไป สร้างความงุนงงให้กับกองทัพนักข่าวทั้งหลาย
คันโตนาถูกศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนบทลงโทษให้เป็นทำงานบริการสังคมเป็นเวลา 120 ชั่วโมงแทน นอกจากนี้สมาคมฟุตบอลอังกฤษยังสั่งลงโทษคันโตนาห้ามลงสนามจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคมอีกด้วย
มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าคันโตนาอาจจะยุติการค้าแข้งที่อังกฤษหลังจากพ้นโทษแบน แต่ เอล็กซ์เฟอร์กูสัน เป็นผู้ที่ชักจูงให้คันโตนาอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งในช่วงต้นฤดูกาลนั้นสโมสรได้ขายผู้เล่นสำคัญบางคนออกไปและเลื่อนชั้นนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาแทน ทำให้ความหวังในการคว้าแชมป์ไม่สู้จะดีนักเช่นเดียวกับในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992)
คันโตนายิงประตูจากลูกจุดโทษในเกมพบกับ ลิเวอร์พูลได้ในนัดประเดิมสนามหลังจากพ้นโทษ และประตูของเขาก็ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้หลังจากต้องเป็นฝ่ายไล่ตามหลัง 10 คะแนนตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา และเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกันหลังจากคันโตนาทำประตูชัยได้ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ
ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1996/1997 ทำให้คันโตนาได้แชมป์ลีกไปแล้วถึง 6 ครั้งในรอบ 7 ปี ยก เว้นเพียงปีที่เขาโดนแบนเท่านั้น หลังฤดูกาลจบลง คันโตนา ก็สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอล ด้วยการประกาศเลิกเล่น ในขณะที่อายุเพิ่งจะ 30 ปีเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานได้หันเหไปเล่นฟุตบอลชายหาดให้กับทีมชาติฝรั่งเศส โดยเป็นกัปตันทีมด้วย