วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

แกรี่ เนวิลล์ ตอน2


ปี 1997 เขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาสะสมเพิ่มอีก 1 เหรียญ ในช่วงซัมเมอร์ปี 1998 แกรี่ เนวิลล์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส โดยการคุมทีมของเกล็น ฮอดเดิ้ล และเขาได้ลงเล่น 3 นัดจากทั้งหมด 4 นัดของทีมชาติอังกฤษ ในฤดูกาล 1998/99 เขาได้ลงเล่นเป็นนักเตะตัวหลักของทีมตลอดทั้งฤดูกาล แล้วเขาก็เป็นนักฟุตบอลของทีมคนหนึ่งในชุดที่คว้า 3 แชมป์ฤดูกาล 1999/2000 ของเขาเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เมื่อต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณขาหนีบ ทำให้ต้องพักจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน และหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บเขาก็กลับมาลงเล่นให้กับทีมได้เกือบทุกนัด จนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเขาก็ลงเล่นให้กับทีมไปแล้วทั้งหมด 250 นัด และในฤดูกาลนี้เขาก็ได้สะสมเหรียญแชมป์พรีเมียร์ชิพเพิ่มอีก 1 รวมทั้งหมด 4 เหรียญแล้ว ในศึกยูโร 2000 เขาก็มีชื่อติดทีมชาติอีกครั้ง และได้ลงเล่นทั้ง 3 นัดของทีมชาติอังกฤษ ก่อนจะกลับไปเล่นให้กับสโมสรและคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 5 ของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้

ในฤดูกาล 2000/01 เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก มากขึ้น เนื่องจากอาการบาดเจ็บช่วงหนึ่งของยาป สตัม และเขาก็ได้เล่นคู่กับเวส บราวน์ และสามารถทำผลงานได้ดีทีเดียว ทำให้สตัม ถึงกับเครียดที่จะต้องแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงกลับมา ทั้งอาการบาดเจ็บและการติดโทษแบนของสตัม เองทำให้ทั้งฤดูกาลตกเป็นของแกรี่

ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2001 แกรี่ได้เซ็นสัญญากับทีมไปอีก 6 ปี ซึ่งสัญญาฉบับนี้จะทำให้ขาอยู่กับทีมไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2007

เขาเกือบจะได้รับเลือกให้ติดทีมชาติอีกครั้ง ในการคุมทีมของสเวน โกรัน อิริคส์สัน ในชุดที่เล่นในฟุตบอลโลกปี 2002 แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา ทำให้ไม่สามารถร่วมลงแข่งในรายการนี้ได้ โดยการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นจนถึงวันที่ 18 กันยายน เขาจึงได้มีชื่ออีกครั้งในฐานะตัวสำรองของทีมในการพบกับ มัคคาบี้ ไฮฟา และในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2002 เขาถึงได้กลับมามีชื่อเป็นหนึ่งใน 11 ตัวจริงอีกครั้ง และกลังจากนั้นเขาก็สามารถเล่นให้กับทีมได้อย่างสม่ำเสมอ มีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นกับเขาน้อยมาก ทำให้เขาสามารถลงเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โดยตลอด


วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

แกรี่ เนวิลล์

แกรี่ เนวิลล์
วันเกิด 18 กุมภาพันธ์ 1975
เมืองเกิด บิวรี่, อังกฤษ
ตำแหน่ง กองหลังหมายเลขเสื้อ 2
เด็กชายเนวิลล์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1975 ที่บิวรี่ เมื่อเขายังเด็กเขาได้ลงเล่นฟุตบอลให้กับบิวรี่ ตามด้วยเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ หลังจากนั้น จึงย้ายมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือนกรกฎาคม ปี 1991 และ 18 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้เซ็นสัญญาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับทีมในเดือนมกราคม ปี 1993
เขาเป็นหนึ่งในนักเตะชุดเยาวชนในปี 1992 – 1993 ซึ่งนักเตะในทีมชุดนี้หลายต่อหลายคนได้เติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เก่งและมีชื่อเสียง และตัวเขาเองก็เช่นกัน เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับทีมปีศาจแดง นัดแรกในศึกยูฟ่า คัพ ในเดือนกันยายนปี 1992 พบกับตอร์ปีโด มอสโคว์ จนกระทั่งฤดูกาล 1994/95 ที่เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างจริงจัง โดยลงเล่นแทนพอล ปาร์คเกอร์ ในตำแหน่งฟูลแบ็ก ที่มีอาการบาดเจ็บ เขายังได้ลงเล่นในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศแต่เป็นนัดที่ทีมต้องพ่ายแพ้ และเขายังต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาลนั้น โดยมีคะแนนน้อยกว่าทีมแชมป์เพียง 1 คะแนนเท่านั้น
ในฤดูกาลต่อมาเขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาครอบครอง ทั้งยังได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 1996 ซึ่งทีมเอาชนะลิเวอร์พูล และคว้าแชมป์มาได้ แต่ความสุขของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เขาได้รับเลือกจากผู้จัดการทีมชาติอังกฤษให้ติดทีมชาติชุด ยูโร 96 ซึ่งในการแข่งขันครั้งนั้น เขาได้ลงเล่นทุกนัด (ยกเว้นนัดที่เขาติดโทษแบน ในรอบ semi-final)

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน


เดนิส ลอว์ ราชาสตั๊ดเหินหาว

ตำแหน่ง กองหน้า

เกิดที่ อเบอร์ดีน, สกอตแลนด์

วันเกิด 24 กุมภาพันธ์ 1940

เดนิส ลอว์ ราชาสตั๊ดเหินหาว เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสามารถรอบด้านสมเป็น ราชาลูกหนัง แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างแท้จริง ในชีวิตการเป็นนักเตะของเขา มีทั้งความสุข สมหวัง ผิดหวัง ท้อแท้ เขาต่างได้ลิ้มรสความรู้สึกเหล่านี้มาแล้ว ครั้งที่เขายังเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นส่งให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงลงไปเล่นในศึกดิวิชั่น 2

เดนิส ลอว์ เกิดที่อเบอร์ดีน เข้าเรียนหนังสือที่ฮิลตัน ไพรเมรี่, คิตตี้บริวสเตอร์ จูเนียร์ และมาจบมัธยมฯในอเบอร์ดีน จากนั้นก็เบนเข็มเข้าสู่การเป็นนักเตะอาชีพให้กับทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1957

ในเดือนมีนาคม ปี 1960 เขาย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 55,000 ปอนด์

ในเดือนมิถุนายน ปี 1961 เขาย้ายออกจากถิ่นเมนโรด ไปอยู่โตริโนของอิตาลีในราคา 110,000 ปอนด์

เดนิส ลอว์ ได้ย้ายมาเล่นในลีกของอังกฤษอีกครั้ง เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเงินสูงถึง 170,000 ปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีมในเดือนกันยายน ปี 1962 นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในยุคนั้น

และในเดือนกรกฏาคม ปี 1973 เขากลับไปเมนโรด อีกครั้ง ก่อนจะแขวนสตั๊ดหันไปเป็นผู้บรรยายฟุตบอลทางวิทยุในเดือนสิงหาคม ปี 1974

ช่วงที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปปี 1964

ติดทีมชาติสกอตแลนด์ชุดใหญ่ 55 ครั้ง ยิงไป 30 ประตู

ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี 3 ครั้ง ยิงไป 1 ประตู

ลงสนามให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 393 นัด ยิงไป 236 ประตู

คว้าแชมป์ลีกกับทีมในฤดูกาล 1964/1965 ,1966/1967

คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1962/1963

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทีมปัจจุบัน

รายชื่อผู้เล่น
Manchester United 2009 - 2010
(1) Van der Sar (2) G. Neville
(3) Evra (4) Hargreaves
(5) Ferdinand (6) Brown
(7) Owen (8) Anderson
(9) Berbatov (10) Rooney
(11) Giggs (12) Foster
(13) J.S. Park (14) Tosic
(15) Vidic (16) Carrick
(17) Nani (18) Scholes
(19) Welbeck (20) Fabio
(21) Rafael (22) O'Shea
(23) J. Evans (24) Fletcher
(25) Valencia (26) Obertan
(27) Macheda (28) Gibson
(29) Kuszczak (30) De Laet
(31) C. Evans (35) Cleverley
(36) Gray (37) Cathcart
(38) Zieler (40) Amos
นี่เป็นรายชื่อนักเตะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดฤดูกาลล่าสุด
นักเตะที่น่าจับตามองก็มี เวย์น รูนี่ย์ฤดูกาลนี้ รูนี่ย์ยิงระเบบิดเลยครับหลังจากโรนัลโด้ไม่อยู่
ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ นักเตะจอมเทคนิค แต่แฟนบอลมักจะเรียกว่านักเตะจอมขี้เกียจ
ไมเคิ่ลโอเว่น เจ้าของเสื้อหมายเลข 7 คนล่าสุดที่ถูกคาดหมายว่าน่าจะเป็นตำนานหมายเลข 7 คนล่าสุด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

พอล สโคลส์ ตอน4


สโคลส์ เป็นผลิตผลชิ้นงามจากโรงเรียนลูกหนัง "ปีศาจแดง" เจเนอเรชั่นเดียวกับ เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์ รวมถึงสองศรีพี่น้อง แกรี่ กับ ฟิล เนวิลล์ ในช่วงกลางยุคไนน์ตี้ส์ ในฤดูกาล 2003 ที่ "ปีศาจแดง" กลายร่างเป็นเทพในพรีเมียร์ลีกนั้น 20 ประตูทองของ สโคลส์ ก็ถือว่า มีความสำคัญสุดยอดเช่นเดียวกัน พูดน้อย แต่ต่อยหนัก คือคุณสมบัติของดาวเตะผู้เป็นที่ใฝ่ฝันของกุนซือทุกคนบนโลกรายนี้ สโคลส์ สามารถทำประตูได้จากทุกระยะของสนาม ในระดับชาติ สตาร์รายนี้ รับใช้ทีมชาติอังกฤษไปทั้งหมด 66 วาระ ก่อนประกาศขอเลิกหลังจบศึก ยูโร 2004 ที่ โปรตุเกส นับตั้งแต่นั้น สโคลส์ ก็หันมาทุ่มเทให้กับการรับใช้สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด แบบเต็มตัว แม้จะถูกจีบให้หวนคืนทีมชาติหลายครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าตอบทุกครั้ง ปัญหาทางสายตาของ สโคลส์ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับฤดูกาล 2005/06 เพียงน้อยนิด แต่ "สโคลซี่ย์" ก็รีเทิร์นกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2006/07 ไฮไลต์ส่วนตัวคือการซัดเปิดแผล ลิเวอร์พูล ในชัยชนะ 2-0 เมื่อเดือนตุลาคม 2006 รวมถึงการวอลเล่ย์เต็มเหนี่ยวในเกมบุกถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 ในอีกสองเดือนถัดมา ซึ่งประตูนี้ ถูกคัดเลือกให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลโดยแฟนๆ ของสโมสรด้วย ผลงานที่ใช้เท้าพูดแทนปาก ส่งผลให้เพื่อนนักเตะ และนักข่าว เลือกให้ สโคลส์ เข้าป้ายอันดับสามสำหรับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมสมาคมนักฟุตบอลอาชีพหรือ พีเอฟเอ และอันดับสี่สำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าว ซึ่งทั้งสองรางวัล ตกเป็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สำหรับฤดูกาล 2007/08 สโคลซี่ย์ มีโอกาสลบล้างความผิดหวังที่เคยพลาดนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเก้าปีก่อน หลังจากที่ตะบันประตูดับ บาร์เซโลน่า พร้อมกับส่ง "ปีศาจแดง" ทะยานสู่ มอสโก อย่างองอาจ

พอล สโคลส์ ตอน3


สโคลส์ เริ่มต้นฤดูกาล 1999/2000 ด้วยการเป็นพ่อคน เมื่อ แคลร์ ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกคนแรก อาร์รอน เจค ในช่วงปลายเดือน กรกฎาคมกับทีมชาติเขาสามารถทำประตูในการพบกับ สกอตแลนด์ ในศึกยูโร 2000 นัด เพลย์-ออฟ ได้และนั่นก็ส่งผลให้เขาได้รับการโหวตโดย England Supporters Club ได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี และในช่วงเดือนมกราคมปี 2000 ที่ทีมต้องไปแข่ง เวิลด์ คลับ แชมเปี้ยนชิพส์ ที่บราซิล เขาก็ไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับทีมได้เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เนื่องจากเขาได้พักและทำให้พลาดลงสนามกับศึกพรีเมียร์ชิพ เพียง 1 นัดเท่านั้น และการกลับมาครั้งนี้ เขาก็สามารถทำประตูได้กับทีมได้ 7 ประตู ตลอดช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล และทีมก็สามารถคว้าแชมป์ที่ 6 ในรอบ 8 ปีได้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล

ปี 2000/2001 ชีวิตในวงการฟุตบอลของเขาก็ยังคงไปได้ดี เขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ครั้งที่ 5 ของตนเองได้ด้วยการลงสนาม 44 นัดและทำประตูได้ในลีก 11 ประตู แต่ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้นคือ การทำประตูในระยะ 32 หลาในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ พานาธิไนกอส และเขาก็จบฤดูกาลนี้ด้วยการทำประตูในฟุตบอลยุโรป 15 ประตู ซึ่งมากกว่า เดนิส ลอว์ อยู่ 1 ประตูในวันที่ 9 พฤษภาคม 2001 สโคลส์ และ แคลร์ ก็ประกาศให้สื่อมวลชนทราบว่าพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 แล้ว โดยมีชื่อว่า อลิเชีย และในวันที่ 6 กรกฎาคม 2001 เขาก็จรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม โดยจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ปี 2006 นอกเหนือจากฤดูกาลที่น่าผิดหวังกับสโมสรในปีนี้ เราและเพื่อนๆ อย่าง เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์ และ เวส บราวน์ ก็ได้ร่วมเล่นทีมชาติด้วยกันในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ด้วยมาตรฐานที่สูงของตัวเขาเองทำให้ถูกมองว่าฟอร์มการเล่นในครั้งนี้ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก แม้ว่าจริงๆ แล้ว เขาคือผู้เล่นในตำแหน่งแดนกลางที่สำคัญมากในทีมคนหนึ่ง และในขณะนั้นทีมชาติอังกฤษ ก็สามารถเข้าถึงรอบ Quarter-finals ได้แต่ก็ต้องพบกับ บราซิล และตกรอบไปในที่สุดเขากลับมาเล่นให้กับสโมสร และได้ลงเล่นในตำแหน่งใหม่นั่นคือ ศูนย์หน้าต่ำ ซึ่งเล่นข้างหลัง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เป็นกองหน้าตัวเป้า และเขาก็พิสูจน์ว่า เฟอร์กี้ คิดถูกที่เขาเล่นในตำแหน่งนี้ เพราะเขาสามารถทำประตูได้กับทีมได้ถึง 20 ประตู และทีมก็สามารถคว้าแชมป์ลีก ครั้งที่ 8 ได้สำเร็จ ซึ่งหลายต่อหลายคนก็ยกเครดิตครั้งนี้ให้กับ รุด แต่ความสามารถของ พอล สโคลส์ เองก็ไม่เคยมีใครมองข้ามไปเช่นกัน

ไม่ง่ายที่นักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่ง จะสามารถทำผลงานได้เข้าตาตำนานลูกหนังโลกอย่าง เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ได้ แต่อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก และอดีตสตาร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดแชมป์ยุโรปครั้งแรก กลับประทับอกประทับใจไอ้หนุ่มหัวแดงนาม พอล สโคลส์ เป็นอย่างยิ่ง "เขาคอนโทรลลูกบอลได้เฉียบขาด แถมยังผ่านบอลได้สุดแจ่ม นี่คือนักเตะที่เล่นฟุตบอลได้เนียนตาดีเหลือเกิน" เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน นิยามนักเตะรุ่นหลานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

พอล สโคลส์ ตอน2


"สโคลซี่ย์" ยังฉายฟอร์มสุดยอดในฤดูกาลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า "ทริปเบิ้ลแชมป์" เมื่อปี 1999 แม้ว่า จะอดเล่นในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะติดโทษแบน
ปี 1999 เขาก็กลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ที่ทำประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในดินแดนอิตาลี โดยเขาทำประตูตีเสมอให้ทีมในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อินเตอร์ มิลาน ที่สนาม ซาน ชิโร่ และหลังจากนั้น ในเดือนเดียวกันนี้เขาก็ยังสามารถทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษ ช่วยให้ทีมเอาชนะ โปแลนด์ 3 – 1 ที่สนาม เวมบลีย์ ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2000แม้ว่าจะค่อนข้างจะขี้อายและไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมากนัก แต่เขาก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์อย่างภาคภูมิใจว่า “มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เล่นฟุตบอลมาเลย ผมได้ทำประตูที่สำคัญให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก และการที่แฟนๆ ให้กำลังใจผมโดยตลอด นั่นทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ จริงๆ”ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ประกาศว่า เขากับภรรยา แคลร์ กำลังจะได้ลูกคนแรก แต่นิยายเรื่องนี้ก็ไม่จบลงด้วยความสุขเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นเขายังเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่คว้า 3 แชมป์ด้วย แต่สิ่งเดียวที่น่าผิดหวังของเขาก็คือ ในฤดูกาล1998/99 เขาต้องติดโทษแบนและไม่สามารถลงเล่นได้ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ บาร์เซโลน่า
ทั้งยังได้รับความอับอายเมื่อเขาเป็นนักฟุตบอลอังกฤษคนแรกที่ถูกไล่ออกในสนาม เวมบลีย์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในศึก ยูโร 2000 รอบคัดเลือก และจบเกมอย่างน่าผิดหวังด้วยการเสมอกับสวีเดน 0-0